หลวงปู่อ่อน วัดสันต้นหวีด สงฆ์ผู้สมถะ ละสังขาร อัฐิเป็นพระธาตุ
หลวงปู่อ่อน วัดสันต้นหวีด สงฆ์ผู้สมถะ ละสังขาร อัฐิเป็นพระธาตุ
ในอดีต เชื่อว่า....
“.....ผู้จะบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้ มีเฉพาะอริยสงฆ์ พุทธสาวกในสมัยพุทธกาล...”
ความ เชื่อนี้ได้เปลี่ยน เมื่อ หลวงปู่มั่น หลวงปู่ชา....ฯลฯ วางแนวว่า ผู้ใดปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบตามแนวของพระพุทธองค์แล้ว ย่อมบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้....เร็วหรือช้าก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนไป...
“เมื่อ ไม่กี่วันที่ผ่าน....ไปที่ วัดสันต้นหวีด ได้สัมผัสกับ อัฐิหลวงปู่อ่อน (อดีตเจ้าอาวาส) กระดูกของท่าน แปรสภาพเป็นอัญมณีใสคล้ายแก้ว พลอย ทับทิม โอปอล...หลายทรงหลากสี
....Amazing อิทธิสำแดงนี้จะบ่งว่า...หลวงปู่อ่อน ถึงขั้นพระอรหันต์หรือไม่.....”
เป็นบันทึกของ...นายศักดิ์ เตชาชาญ อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ อาจารย์มหาวิทยาลัยและผู้ว่าราชการหลายจังหวัด...ด้วยศรัทธา!!
จากบันทึกนี้.... “เหนือฟ้า ใต้บาดาล” จึงได้ตามล่าหาความจริง สู่พิกัดอันเป็นปฐมมูล
วัด สันต้นหวีด....เป็นวัดประจำหมู่บ้านสันต้นหวีด หมู่ 7 ตำบลแม่ปืม
อำเภอเมืองพะเยา ตั้งอยู่กลางท้องทุ่งที่ราบลุ่มอ่างเก็บน้ำแม่ปืม
แม้วัดนี้จะไม่ใหญ่โตนักแต่ก็มีอาคารปฏิบัติศาสนกิจครบถ้วน....ปัจจุบันพระ
อธิการสมนึก สิริวัฑฒเมธี เป็นเจ้าอาวาสศาสนสถานแห่งนี้ เดิมชื่อ “วัดเชตวัน” เป็นวัดเก่าแก่เกิดขึ้นพร้อมๆกับการก่อตั้งหมู่บ้านในรุ่นแรกๆ ระยะต่อมา ชาวบ้านได้ร่วมกันตัดต้นหวีดเจาะเป็น “กลองปู่จา” ประดิษฐานประจำวัด จึงเรียกชื่อกันว่า “วัดสันต้นหวีด” มาตั้งแต่ปี 2420 นามนี้มีอายุเรียกขานกันมาประมาณ 136 ปี....
O O O
วัดสันต้นหวีด เริ่มเจริญรุ่งเรืองเมื่อหลวงปู่อ่อนมารับตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาส (ตั้งแต่ปี 2509 เป็นต้นมา) ได้ขยายพื้นที่จากเดิมและได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเป็นวัดอย่างถูกต้องใน ปี 2511
หลวงปู่อ่อน รตนวัณโณ หรือ “พระครูสันติธรรมมาภิรม”...เป็นชาวบ้านสันต้นหวีดโดยกำเนิด เมื่อปี 2465 อายุ 12 ปีบรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดใหม่หลวง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านเท่าใดนักเพื่อเรียนนักธรรม
.....เมื่ออายุครบ บวชจึงอุปสมบท ณ วัดศรีบุญเรือง อยู่ได้ไม่กี่พรรษา โยมมารดาป่วยจึงลาสิกขามาดูแล ตอนนั้นอายุ 25 ปี เป็นการตอบแทนพระคุณ แสดงถึงความกตัญญูบุพการี
แม้จะสูงอายุก็ยังนำปฏิบัติศาสนกิจ.
ช่วง ที่กลับมาเป็นฆราวาสได้บรรลุถึงสัจธรรม.....สังขารนั้นไม่เที่ยง
สังขารเป็นทุกข์เป็นอนัตตาไม่ใช่ความสำเร็จ จึงตัดสินใจลาครอบครัว
กลับเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์อีกครั้ง ในปี 2505 ณ วัดศรีอุโมงค์คำ
ครั้งนี้ได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง โดยเฉพาะ
ได้เป็นศิษย์ของครูบาแก้ว คันธวังโส (อดีตเจ้าอาวาสวัดศรีโคมคำ)
อันเป็นศิษย์สายตรงของ ครูบาศรีวิชัย สิริวิชโยครูบาอ่อน...ได้ ธุดงค์และปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเข้ารุกขมูลมาเป็นระยะๆ และเผยแผ่ศาสนา อบรมจริยธรรมแก่พุทธศาสนิกชนด้วยหลักธรรมพื้นๆ เดินแบบสายกลาง คือไม่เคร่งดึงเกินจนทำอะไรไม่ได้ และไม่หย่อนกระทั่งขาดวินัย...เพื่อให้ศิษยานุศิษย์สามารถเข้าถึงได้ในการ ถือปฏิบัติ
O O O
....หลวงปู่อ่อน เป็นอริยสงฆ์ที่สมถะรูปหนึ่ง นอกจากจะได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสและยังได้รับตำแหน่งเป็นเจ้าคณะตำบล ด้วย ต่อมาปี 2543 จึงลาออก เปิดโอกาสให้สงฆ์รูปอื่นที่เหมาะสมได้เข้าบริหาร
และ.....การ สงเคราะห์สังคมมิใช่เพียงการปฏิบัติธรรมเท่านั้น ด้วยเมตตาพลังภายใต้จิตสำนึก ยังบริการสังคมด้วยกิจอื่นๆ ไม่เหน็ดเหนื่อยกับการรับกิจนิมนต์ไกลใกล้ มิได้ขัดศรัทธา อีกทั้งได้นำความรู้สมุนไพรมาบำบัดการเจ็บป่วยไข้ ให้หายหรือบรรเทา...จึง เปี่ยมด้วยศรัทธาบารมี
ด้าน...คาถาอาคม หรือไสยศาสตร์ ก็มี พลังเข้มขลังจนได้รับความเลื่อมใสไม่แพ้เกจิอาจารย์อื่นๆ ในรุ่น หลวงปู่อ่อนได้สร้างเครื่องรางของขลังและวัตถุมงคลจ่ายแจกศิษยานุศิษย์เช่นกัน แต่ไม่มากนักด้วยมิประสงค์ในเชิงพุทธพาณิชย์
พระอธิการสมนึก เจ้าอาวาส.
พระอธิการสมนึก สิริวัฑฒเมธี
เล่าถึงพลังศรัทธา....ว่า..อาตมาเป็นศิษย์แม้ไม่ได้อยู่วัดเดียวกัน
แต่ก็อยู่วัดที่หลวงปู่เป็นสามเณร (วัดใหม่หลวง)ตลอดระยะเวลาได้มา หาและเยือนเป็นประจำเพราะอยู่ไม่ห่างกันนัก หลังอาตมาเรียนจบปริญญา ครั้งหนึ่งได้มาขอฤกษ์ลาสิกขาจากหลวงปู่ด้วยไปสมัครงานไว้ (ซึ่งก็ตกลงรับเข้าทำงานแล้ว)
.....แต่หลวงปู่กลับบอกว่า เธอไม่ได้สึกหรอกแล้วอยู่ต่อไปจะได้เป็นสมภารด้วย...!!
ก็ ไม่รู้เป็นอย่างไร มีเรื่องติดๆขัดๆมิได้ลาสิกขาจริงๆ แล้วอยู่ต่อมาอีกหลายปี พอหลวงปู่ละสังขาร ชาวบ้านก็นิมนต์มารับตำแหน่งต่อจากหลวงปู่...สถานการณ์มันตรงตามหลวงปู่ กำหนดจริงๆ
พ.ต.ท.จรูญ เมืองมูล
ศิษย์ อีกผู้หนึ่งที่เลื่อมใส และอยู่กับหลวงปู่อ่อนถึงวันละสังขารคือ
พ.ต.ท.จรูญ เมืองมูล รอง ผกก.สภ.แม่ใจ
บอกว่า...มีความรักและศรัทธาต่อหลวงปู่เป็นยิ่ง
ตลอดระยะเวลาที่ได้ปรนนิบัติ
หลวงปู่จะสอนในธรรมปฏิบัติต่างๆให้โดยไม่รู้ตัว
และเมื่อปฏิบัติตามแนะก็บรรลุผล....มิได้เน้นในปาฏิหาริย์ แต่ให้เกิดความสำเร็จ อันเป็น รูปธรรมที่ใครๆสามารถจับต้องได้..!!
23 มิถุนายน 2555....อันเป็นช่วงวาระสุดท้าย “หลวงปู่อ่อน” ได้ถามศิษย์ๆที่เฝ้าไข้ว่า“...พวกสู้ ฮู้กำว่านิพพานก้อ มันเป็นตี้สุดหนา” ซึ่งผู้ที่ได้ยินต่างยกมือพนมจดหัวและกล่าว...สาธุ
แล้ว...หลวงปู่อ่อนก็บริกรรมฐานไม่พูดอะไรอีกเลย แน่นิ่งกระทั่งละสังขาร
อัฐิกลายเป็นพระธาตุ.
วัน ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2556 ได้จัดพระราชทานเพลิงศพ
หลังเก็บอัฐิเป็นปาฏิหาริย์
เมื่อกระดูกและขี้เถ้าแปรสภาพเป็นพระธาตุอันสดใส...จึงมีการ
จัดสมโภชเพื่อความเป็นสิริมงคลจากนั้น....ได้ แพร่พลังศรัทธาหลวงปู่อ่อน ให้กว้างไกล จ่ายแจก พระธาตุ แก่ผู้เลื่อมใส...ได้นำไปสักการะบูชา..!!
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น